กระบวนการสอบเทียบเครื่องแก้ววัดปริมาตรทุกชิ้นของ BOROSIL นั้นใช้ระบบคอมพิวเตอร์อัตโนมัติ ทำให้ผลิตภัณฑ์ทุกชิ้นมีความเที่ยงตรงและแม่นยำสูง ปราศจากความผิดพลาดในการสอบเทียบที่อาจเกิดขึ้น จากการใช้แรงงานคน
1. ชั่งเครื่องแก้ววัดปริมาตรเปล่าบนเครื่องชั่ง เช่น Volumetric flask เพื่อเก็บค่าน้ำหนักภาชนะเปล่าก่อน
2. เครื่องจักรอัตโนมัติเติมน้ำกลั่นบริสุทธิ์ตามปริมาตรที่ต้องการเอาไว้ลงในเครื่องแก้วจากข้อ 1. โดยระบบได้มีการคิดคำนวณค่าพารามิเตอร์และสิ่งแวดล้อมในการทำงานในขณะนั้นที่อาจส่งผลต่อปริมาตรของน้ำกลั่นบริสุทธิ์ที่เติมลงไป เช่น ระดับอุณหภูมิและความชื้นในอากาศเอาไว้แล้ว
3. กล้องควบคุมเลเซอร์จะเล็งตรวจวัดจุดต่ำสุดของส่วนโค้งเว้า (Meniscus) และที่กงล้อหมุนจะมีหัวเจียระไนเนื้อแก้วซึ่งทำจากเพชรทำการหมุนควั่นเนื้อแก้วเพื่อสร้างขีดวัดปริมาตร (Scrolling mark) กระบวนการนี้จะทำให้ได้ขีดวัดปริมาตรที่มีความถูกต้องเที่ยงยำมากที่สุด และไม่มีโอกาสลบเลือน
4. สำหรับการสอบเทียบปริมาตร กระบอกตวง (cylinder), บิวเรตต์ (burette) และปิเปตต์ (pipet) จะต้องทำการสอบเทียบอย่างน้อย 2 จุดขึ้นไป
5. มีการคำนึงถึง Wet surface area factor ตลอดกระบวนการผลิต
เครื่องแก้วสำหรับบรรจุของเหลวหรือสารละลาย โดยจะมีการระบุสัญลักษณ์ TC หรือ In ไว้ที่ตัวเครื่องแก้ว เครื่องแก้วประเภทนี้ได้แก่ Volumetric flask และ Cylinder
เครื่องแก้วสำหรับการส่งผ่านสารหรือส่งถ่ายปริมตรสาร โดยจะมีการระบุสัญลักษณ์ TD หรือ Ex ไว้ที่ตัวเครื่องแก้ว เครื่องแก้วประเภทนี้ได้แก่ Burette และ Pipette
ตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 จวบจนถึงปัจจุบัน นักเคมีนิยมเลือกใช้ภาชนะบรรจุ ที่ทำจากแก้วในการทำงานวิจัย เพราะคุณสมบัติหลักของแก้วที่มีลักษณะโปร่งใส สามารถเห็นสารที่บรรจุและปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นภายในได้อย่างชัดเจน แต่เนื่องจากการทดลองมักจะต้องมีการใช้อุณหภูมิที่หลากหลายและมีการผสมสารเคมีต่างๆ แก้วทั่วๆไปจึงไม่มีคุณสมบัติเหมาะสมเพียงพอที่จะใช้กับงานวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการได้
การทดลองในห้องแล็บต้องการเครื่องแก้วที่สามารถขึ้นรูปทรงได้ตามต้องการ และสามารถที่จะทนต่ออุณหภูมิที่สูงมากๆ หรือการปรับเปลี่ยนอุณหภูมิโดยเฉียบพลันได้โดยไม่เกิดการแตกร้าว หัก หรือเสียรูปทรง ทั้งยังสามารถรองรับกับการใช้งานในห้องแล็บได้หลากหลาย เช่น การล้างทำความสะอาดและการฆ่าเชื้อ
กลุ่มเครื่องแก้ววัดปริมาตร แบรนด์ BOROSIL ที่ทางบริษัทฯ ทำสต็อคนั้นเป็นแบบ Batch Certificate ทั้งหมด แต่หากลูกค้าต้องการ Certificate ที่ออกรับรองเครื่องแก้วแบบรายชิ้น (Individual Certificate) ท่านสามารถแจ้งมาที่บริษัทฯ เพื่อทำการขอราคาและให้ทางบริษัทฯ สั่งนำเข้าพิเศษได้
Individual Certificate ของ BOROSIL นั้นจะออกโดยห้องปฏิบัติการ ISO 17025 ของ BOROSIL ซึ่งได้รับการรับรองจากสถาบัน NABL (National Accredited Board for Testing and Calibration laboratory) ที่ได้รับการยอมรับร่วม (Mututal Recognition Agreements, MRAs) ทั้งในระดับภูมิภาคกับองค์กรภูมิภาคเอเชียแปซิฟิคว่าด้วยการรับรองระบบงานห้องปฏิบัติการ (the Asia Pacific Laboratory Accreditation Cooperation : APLAC) และในระดับสากลกับองค์กรระหว่างประเทศว่าด้วยการรับรองห้องปฏิบัติการ (International Laboratory Accreditation Cooperation : ILAC) จึงทำให้ Individual Certificate ที่ได้รับการรับรองจากแล็บ ISO17025 ของ BOROSIL นั้นได้รับการยอมรับจากแล็บ สอบเทียบมาตรฐาน ISO17025 ทั้งในประเทศที่อยู่ในทวีปเอเชีย อันรวมถึงประเทศไทยและทั้งในระดับสากล
เครื่องแก้ววัดปริมาตร ของแบรนด์ BOROSIL จะเป็นแบบสเกลสีชา ฝังลงไปในเนื้อแก้ว จึงทำให้ไม่มีปัญหาเรื่องสเกลลอกเลือนหาย แต่หากลูกค้าต้องการเป็นสเกลเซรามิคสีขาวหรือสีฟ้า
ทางบริษัทฯ สามารถสั่งทำพิเศษให้ได้เช่นกัน
สำหรับเครื่องแก้วทั่วไปที่ไม่ใช่กลุ่มเครื่องแก้ววัดปริมาตร สเกลและเครื่องหมายสัญลักษณ์จะเป็นแบบสีเซรามิคสีขาว
เครื่องแก้วที่ใช้สำหรับวัดปริมาตรของของเหลวที่ต้องการความแม่นยำสูง ได้แก่ Cylinder, Volumetric Flask, Burette, Pipette โดยมีลักษณะ คือ
สินค้าเครื่องแก้ว BOROSIL ทุกรายการผลิตจากแก้ว Borosilicate Type 3.3 ซึ่งจะมีคุณสมบัติตามรายละเอียดที่จะกล่าวถึงด้านล่างนี้ ยกเว้น สินค้าที่ระบุว่าเป็น S-Line จะผลิตจากแก้วชนิด Soda Lime
BOROSIL คือ แก้วบอโรซิลิเกตที่มีสภาพความเป็นด่างต่ำ ประเภท 3.3 (a low alkali borosilicate Type 3.3 glass) ซึ่งแทบจะไม่มีสารกลุ่มของแมกนีเซียม ปูนขาว และสังกะสีเจือปนอยู่เลย และปราศจากสารหนูและธาตุโลหะหนักอื่นๆ
เครื่องแก้ว BOROSIL มีสัมประสิทธิ์การขยายตัวเนื่องจากความร้อนอยู่ในระดับที่ต่ำ ดังนั้น โอกาสที่จะเกิดความเครียดขึ้นในเนื้อแก้วเมื่อนำไปใช้กับสภาวะแวดล้อมที่อุณหภูมิสูงจึงน้อยกว่าแก้วชนิดอื่น สามารถใช้กับอุณหภูมิได้สูงถึง 500°C และทนต่อการปรับเปลี่ยนอุณหภูมิอย่างเฉียบพลันได้กว้างถึง 160°C โดยที่แก้วไม่มีการแตกร้าวหรือได้รับผลกระทบใดต่อคุณสมบัติทั้งทางกายภาพและทางเคมีของตัวแก้วเลย เช่นคุณสามารถโยนแก้ว BOROSIL ที่อบออกจากตู้อบความร้อน 160°C ลงไปในน้ำที่อุณหภูมิ 0°C ได้โดยแก้วไม่เป็นอะไร
จุดความเครียด (Strain point) สำหรับแก้ว Borosilicate นั้นอยู่ที่ 515°C เป็นจุดอุณหภูมิสูงสุดที่ยังทำงานกับวัสดุนั้นได้โดยที่ไม่เกิดความเครียดขึ้นในเนื้อแก้ว เมื่อใดที่ได้รับความร้อนมากกว่า 500 องศาเซลเซียส ก็มีโอกาสที่จะเกิดความเครียดในวัสดุนั้นขณะที่ลดอุณหภูมิลงมาได้ ซึ่งจะทำให้แก้วเกิดความเสียสภาพไปได้
ผลิตภัณฑ์ของ BOROSIL ทุกตัวจะผ่านกระบวนการอบอ่อน (Annealed) ในอุโมงค์เตาอบ (Lehr oven) ภายใต้การควบคุมอุณหภูมิที่เคร่งครัด ทำให้มั่นใจได้ว่าไม่มีความเค้นและความเครียดตกค้างอยู่ในผลิตภัณฑ์ เพราะจะถูกขจัดออกไปจนหมดสิ้น จึงทำให้แก้วไม่แตกง่ายและมีความคงทนสูงมาก
ผลิตภัณฑ์ BOROSIL จะมีความทนทานต่อการกัดกร่อนของน้ำ, สารที่เป็นกลาง, สารละลายกรด, กรดเข้มข้นและสารผสม, Chlorine, Bromine, Iodine และสารอินทรีย์ ได้เป็นอย่างดี แม้ต้องทนต่อระยะการเกิดปฏิกิริยาที่ยาวนาน หรือที่อุณหภูมิ การทำงานมากกว่า 100°C ซึ่งถือได้ว่าเป็นคุณสมบัติที่เหนือกว่าโลหะหรือวัสดุชนิดอื่นๆ
ข้อยกเว้น สารที่พึงระวัง ห้ามนำมาใช้กับผลิตภัณฑ์ที่ทำจากแก้วโบโรซิลิเกต เพราะจะทำปฏิกิริยาทางเคมีกับแก้ว แล้วจะทำให้แก้วเสื่อมสภาพได้ก็คือ Hydrofluoric acid, Phosphoric acid และ สารละลายด่างที่มีความเข้มข้นสูงมากที่อุณหภูมิร้อนจัด
การนึ่งฆ่าเชื้อ (Autoclave) มีใช้กันอย่างแพร่หลาย สำหรับการใช้ฆ่าเชื้อเครื่องมือ เครื่องแก้ว อุปกรณ์พลาสติก สารละลายและอาหารเลี้ยงเชื้อและลดความปนเปื้อนของมูลฝอยทางชีวภาพ การนึ่งฆ่าเชื้ออาจก่อให้เกินอันตรายต่อผู้ใช้งาน เนื่องจากความร้อน (heat) ไอน้ำ (steam) และความดัน (pressure) ผู้ใช้งานจึงต้องใช้ความระมัดระวังอย่างมาก
หม้อนึ่งฆ่าเชื้อ ควรได้รับการดูแลรักษาเป็นอย่างดี เพื่อให้สามารถนำไปใช้งานได้อย่างปลอดภัย เพราะหม้อนึ่งฆ่าเชื้อแต่ละเครื่องจะมีลักษณะและการใช้งานเฉพาะตัว ดังนั้นจึงควรตรวจสอบและทำความเข้าใจคู่มือการใช้งานหม้อนึ่งฆ่าเชื้อทุกครั้งก่อนใช้งานครั้งแรกให้ดีเสียก่อน นอกจากนี้ควรปฏิบัติตามข้อปฏิบัติเกี่ยวกับความปลอดภัยในการใช้งานที่หน่วยงานของท่านให้ละเอียด
ผลิตภัณฑ์สารหล่อลื่น 3 ประเภทที่นิยมใช้กับเครื่องแก้ว
a. Hydrocarbon grease : นิยมใช้กันมากที่สุด สามารถล้างออกได้ง่ายโดยตัวทำละลายที่ใช้ส่วนใหญ่ในห้องแล็บ เช่น Acetone
b. Silicon grease : นิยมใช้กับอุปกรณ์ที่ต้องใช้กับงานวิเคราะห์ที่ใช้อุณหภูมิสูงหรือความดันสูง สามารถล้างออกได้ด้วย Chloroform
c. Glycerin : นิยมที่ใช้กับงานที่มีปฏิกิริยาท่อที่มีการไหลในระยะยาว แล้วมีสารอินทรีย์และไขมันที่ไม่ละลายน้ำอยู่ด้วย สามารถล้างออกได้ด้วยน้ำ
เครื่องแก้วที่สะอาดเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับห้องปฏิบัติการที่ดี เพราะถึงแม้ห้องปฏิบัติการจะมีกระบวนการหรือขั้นตอนต่างๆที่กระทำอย่างเข้มงวด รัดกุมแล้วก็ยังสามารถทำให้เกิดข้อผิดพลาดของ ผลลัพธ์ของการทดลองได้ หากเครื่องแก้วที่ใช้งานนั้นสกปรก เครื่องแก้วต้องมีความสะอาดทั้งทางกายภาพและทางเคมี และในหลายๆกรณีก็ต้องปลอดเชื้อด้วย ตัวบ่งชี้ที่ปลอดภัยที่สุดเพื่อดูความสะอาดของเครื่องแก้วก็คือรูปแบบการเปียกน้ำกลั่นบริเวณพื้นผิวเครื่องแก้ว นี่เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับเครื่องแก้วที่ใช้สำหรับวัดปริมาณของเหลว Grease และสารสกปรกต่างๆจะกันแก้วไม่ให้เปียกน้ำ ในทางกลับกัน ปริมาณตะกอนที่เกาะอยู่กับผนังเครื่องแก้วก็มีผลต่อการวัดปริมาณของเหลวหรือการส่งถ่ายของเหลว น้ำยาขัดทำความสะอาดและฟองน้ำแบบขัด ไม่ควรนำมาใช้ในการล้างเครื่องแก้วในห้องปฏิบัติการ เนื่องจากอาจทำให้ผิวเครื่องแก้วเสียหายได้ และความเสียหายของพื้นผิวดังกล่าวอาจมีผลกระทบต่อคุณสมบัติของเครื่องแก้วด้วย